เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ทำไมต้องฟังเทศน์ล่ะ ฟังเทศน์อานิสงส์ของการฟังธรรม ถ้าอานิสงส์ของการฟังธรรมนะ เราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ขอนิสัย จะได้นิสัยจากครูบาอาจารย์ เราเลี้ยงลูกเรามาอยู่ที่นิสัยใจคอเราอบรมมันมา อบรมมันมานี่นะ ถ้าลูกของเราไปทำผิดทำชั่วเขาบอกพ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่สั่งสอน พ่อแม่สั่งสอนทุกวันเลยแต่มันไม่ฟัง มันไม่ฟัง มันไม่ทำไง
นี่ก็เหมือนกัน ฟังเทศน์ทุกวันเลย ฟังเพื่อตอกย้ำไง ตอกย้ำให้เราคุ้นเคย ให้เราอยู่ใกล้ชิดกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าให้หัวใจเราไปคุ้นเคยกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบบี้สีไฟ อยู่ในหัวใจของเรามันทุกข์ยากมาพอแรงแล้วล่ะ ไม่ต้องไปหาใครมันก็อยู่ในใจเรานี่แหละ มันเผาลนอยู่ในใจเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อให้มันแบ่งแยก ให้มีทางออก ให้มันได้โงหัวขึ้นมา ให้หัวใจให้มันโงหัวขึ้นมา โงหัวขึ้นมาให้มันรู้จักสิ่งใดดี สิ่งใดชั่วบ้าง ไม่ใช่ปล่อยจมอยู่อย่างนั้นไง
นี่ฟังเทศน์ทุกวันๆ ตอกย้ำ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วแก้ความสงสัย นี่แก้ความสงสัยของตน แก้สิ่งต่างๆ ของตน ถ้ามันถึงที่สุดแล้วจิตใจมันผ่องแผ้ว ถ้าผ่องแผ้วขึ้นมา จิตใจใสสว่างอันนั้นเป็นความจริง นี่ฟังธรรมๆ เขาว่าให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง แล้วให้ธรรมหรือให้ยาพิษล่ะ ธรรมนั้นมียาพิษเจือปนหรือเปล่า นี่เราให้ธรรมๆ ธรรมคืออะไร น้ำผึ้ง เห็นไหม ดูสิน้ำผึ้งมันมีสรรพคุณในตัวของมันเอง นี่น้ำผึ้งเพราะสัตว์มันหามาเป็นอาหารของมัน
นี่ก็เหมือนกัน เวลาน้ำผึ้ง ผึ้งมันหามาแสนทุกข์แสนยาก เวลาของเหม็นแมลงวันมันชอบตอม ไปตั้งไว้ไหน โอ๋ย แมลงวันตอมเต็มไปหมดเลย แล้วมันก็หามาเหมือนกัน เราจะชอบแมลงผึ้งหรือแมลงวัน ถ้าเราชอบแมลงวัน แมลงวันมันตอมแต่ของเหม็น ถ้าแมลงผึ้งมันต้องไปหาตามเกสรดอกไม้ มันหาสิ่งต่างๆ มาเพื่อประโยชน์กับมัน นี่เวลาเราให้ธรรมๆ ให้ธรรม ธรรมนั้นเป็นธรรมของใคร ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นเป็นสัจธรรม เป็นความใสสะอาดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปได้ยินได้ฟังมา ได้ยินได้ฟังมาเราก็บวกกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราเข้าไป
ถ้าบวกเข้าไป นี่ไงยาพิษ เวลาให้ยาพิษไป ให้ความเป็นจริงหรือเปล่า ให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง ให้อย่างไร เวลาเขาให้เขาให้ปัญญา เห็นไหม ดูสิเมื่อก่อนเขาให้แจกทาน สุดท้ายแล้วเขาพยายามให้คนมีปัญญา ให้เขาหาอยู่หากินให้ได้ ถ้าเขาหาอยู่หากินได้ เขาเอาตัวของเขารอดได้ ถ้าเขาเอาตัวรอดได้ นี้เวลาผู้ให้นะ แต่เวลาผู้รับล่ะ ปฏิคาหกนะผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ เวลาผู้รับ เห็นไหม ผู้รับรับด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยความออเซาะฉอเลาะ ออเซาะฉอเลาะเพราะอะไรล่ะ เพราะมันมีอวิชชา ตัวเองแสดงออกไม่รู้ว่าการแสดงออกของตัวเองนั้นมีอะไร เพราะอะไร เพราะมันนอนเนื่องมากับใจไง
นี่เราแสดงออก ดูสิที่เราชอบเด็กๆ เพราะอะไร เพราะมันไร้เดียงสา เด็กๆ ไร้เดียงสา โตขึ้นมากูไม่เอาแล้ว พอโตขึ้นมีมารยาไม่เอาแล้ว แต่ถ้ามันไร้เดียงสา นี่มันไร้เดียงสา เราชอบเด็กๆ มันไร้เดียงสา มันไม่มีมารยา มันคิดอย่างไรมันพูดอย่างนั้น มันไม่พอใจมันโยนทิ้งเลย ถ้ามันพอใจมันดีใจของมัน เด็กมันไร้เดียงสา แต่โดยธรรมชาตินะมันเป็นเด็กอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องโตขึ้นมา เวลาโตขึ้นมาแสนทุกข์แสนยาก ชีวิตที่มีความสุขมากเป็นชีวิตตอนเป็นทารก พ่อแม่เลี้ยงดูมาตลอดนะ เว้นแต่คนทุกข์คนจน
เรามีเวลาโยมเขาไปเมืองจีนสมัยโบราณ ฟังแล้วเศร้าใจมาก เขาเอาเด็กไปทิ้งตามสี่แยก สามแยก เด็กมันก็ดูดแต่นิ้วมือของมันเอง เพราะพ่อแม่เขาเลี้ยงดูมาไม่ไหวไง ประชากรเขาเยอะมาก เด็กมันต้องดูดนิ้วมือของมันนะ มันนึกว่าเป็นอาหาร มันจะกินนม มันไม่มีนมกิน นี่เขาไปเดินดูตามสี่แยกสามแยกนะ สมัยที่ว่าเขายังไม่เจริญ นั่นล่ะเดี๋ยวนี้เขาเจริญนะเขาบอกว่าเขาร่ำรวยมาก เงินทองท่วมโลก นี่มันเป็นไปตามกระแส ถ้ากระแสมันเป็นแบบนั้น ถ้าจิตใจของเราล่ะ มันย้อนเข้ามาที่เราไง ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว
ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง สมเด็จมหาวีรวงศ์ฯ ท่านว่า เทศน์เรื่องของเราเองทั้งนั้นแหละ มันเทศน์เรื่องของผู้ฟังนั่นแหละ เรื่องอยู่กับเราแต่เราไม่รู้ เราไม่เห็น เพราะมันเป็นเรา พอเป็นเรามันก็ปกป้องไปหมด ถ้าเราคิดเราทำอะไรดีไปหมดแหละ แต่ถ้ามันดีจริงทำไมมันทุกข์ยากอย่างนี้ล่ะ อ้าว ถ้ามันดีจริงมันต้องมีความสุขสิ แล้วความสุขมันมาจากไหนล่ะ นี่ความสุขมันมาจากไหน ความสุขคือจิตสงบ ความสุขข้างนอกไปหาจากข้างนอกมันต้องบวกมาด้วยฟืนด้วยไฟ ให้ธรรมอันนี้มันประเสริฐ แล้วประเสริฐจริงหรือเปล่า
มันประเสริฐแต่ผู้ให้ ถ้าผู้ให้เขามีสัจจะ เขามีความจริงของเขา ไอ้ผู้รับ รับมาแล้วมันเป็นความจริงของเราหรือเปล่าล่ะ นี่ได้มา เวลาเขาให้ธรรมะมา ให้ปัญญามาให้เอาตัวรอดไม่เอา ไม่เอา แต่ถ้าเขาให้เป็นข้าวของเงินทองนี่ชอบ จะเอาอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็ไม่เจริญขึ้นมา ไม่แข็งแรงขึ้นมา ไม่ทำได้ขึ้นมา แต่ถ้าผู้ที่เขาฉลาด
คำว่าฉลาด เห็นไหม นี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไง ผู้ที่ฉลาดนะเหมือนหงายของที่คว่ำอยู่ให้มันหงายขึ้นมา ถ้ามันหงายขึ้นมามันได้รับทุกๆ อย่างขึ้นมา ถ้ามันคว่ำอยู่ คว่ำอยู่ก็ทิฐิของตัวไง ฉลาดเลอเลิศ มีความรู้มาก เป็นคนเก่งคนกล้า ไม่มีใครเขาสนใจเลย ไม่มีใครสนใจเลย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะเวลาท่านแสดงธรรม อนุปุพพิกถา การเสียสละของเรา ทำเสียสละมันจะได้ประโยชน์อย่างนั้น
นี่ถ้ามีศีลมันจะมีประโยชน์อย่างนั้น ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมามีประโยชน์อย่างนั้น การที่เราเสียสละไปมันเกิดอำนาจวาสนาบารมีของเรา มันเป็นการสร้างบารมี การสร้างบารมีเวลาเราทำสิ่งใดต้องการให้คนยอมรับ ใครเขาจะยอมรับ ใจเราเรายังยอมรับใจตัวเองไม่ได้เลย สงสัยไปหมด ในใจสงสัยไปหมด มันเร่าร้อนไปหมด เราเองเรายังเชื่อใจเราไม่ได้เลย แล้วจะให้คนอื่นเชื่อใจเราได้อย่างไรล่ะ
ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องรักษาตน ตนต้องพยายามสำรอกคายกิเลสในใจของตน ถ้าคายกิเลสได้แล้วนะจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจทุกดวงใจมันเหมือนใจดวงนี้ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เวลาสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาท่านสิ้นกิเลสไปแล้วเหมือนกัน ใจก็เหมือนใจ ใจก็เหมือนใจแต่ใจมันแตกต่างกัน แตกต่างกันที่อำนาจวาสนาบารมีนี่ไง
ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมี เวลาฟังธรรมทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย เวลาคนไม่มีบารมี จ้ำจี้จ้ำไชขนาดไหนก็ไม่ได้ อยู่เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตอยู่ด้วยกัน เกิดมาก็เป็นญาติกันอยู่แล้ว เป็นลูกพี่ลูกน้อง เวลาบวชก็บวชร่วมกัน สายเลือดเดียวกัน เวลาทำสิ่งใดไม่ได้สิ่งใดเลย ถ้าจะได้ก็ได้เพราะการกระทำของตน ได้นรกอเวจี ได้แต่ความทุกข์ยาก เวลาอยู่ก็อยู่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชิดชูเราเลย ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นหน้าเราเลย
เขาจะเห็นอะไรก็มันกิเลสทั้งตัว ยาพิษทั้งนั้น แล้วยาพิษเผยแผ่ไปคนอื่นก็ได้ยาพิษไปหมด เวลาขอครุกรรม ๕ แล้วบอกว่าไม่ให้อยู่กุฏิ ไม่ให้บิณฑบาต ไม่ให้รับกิจนิมนต์ ไม่ให้ต่างๆ พระใหม่ๆ เชื่อนะมันเคร่งตามไป องค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังให้พระสารีบุตรไปเทศนาว่าการเอาคืนมาเลย เอาคืนมาเพราะพระใหม่ไม่รู้เรื่อง เห็นเขาพูดแต่เปลือกก็นึกว่าอู้ฮูสุดยอด เคร่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ดีกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตท่านเป็นธรรม จริตนิสัยของคน คนที่เข้มแข็งทำสิ่งใดก็ทำได้ คนที่เขานุ่มนวล เขาอ่อนหวานของเขา เขาทำของเขา
นี่เขาทำของเขาแล้วเขาได้ประโยชน์ของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองเข้าไปที่จิตของเขา จิตของเขาเป็นคนกระทำ จิตของเขาจะเป็นผู้ได้ ไอ้เราไปตั้งกติกาไว้ซะเข้มแข็ง จิตของเขามันไม่ได้ประโยชน์กับเขาไง แต่ถ้าจิตของเขาเข้มแข็งอย่างนั้น ทำได้อย่างนั้นมันก็ประเสริฐ ถ้าจิตของเขานุ่มนวลอ่อนหวาน อย่างไรก็ทำให้จิตนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะนี่เป็นจริตนิสัย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองถึงประโยชน์ของผู้ฟัง มองถึงประโยชน์ของผู้รับ มองถึงประโยชน์ของสัตว์โลก ท่านมองตรงนั้น ไม่ใช่มองว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เทวทัตเข้มแข็งกว่า เทวทัตเก่งกว่า ท่านไม่ได้มองตรงนั้น ท่านมองที่ว่าผู้ได้รับ เพราะท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านมองหัวใจของคนที่ฟัง ท่านมองหัวใจของคนที่เปิด ท่านมองหัวใจตรงนั้น คนนั้นจะได้ประเสริฐ เวลาไปเอาองคุลิมาล สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน เราหยุดแล้ว เธอไม่หยุด สมณะหยุดก่อน หยุดอย่างไรล่ะมันยังลอยไปอยู่นี่ วิ่งไม่ทัน หยุดจากการทำความชั่ว หยุดจากการทำความบาป หยุดจากการฆ่า ท่านยังถือดาบวิ่งฆ่าเขาอยู่
คนมีความคิดไง ช็อกเลยนะ ก้มลงแล้ววางดาบ กราบขอบวชเลย นี่หัวใจที่สร้างมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณก่อน เล็งญาณว่ามันจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ ไปแล้วจะได้หรือไม่ได้ ถ้าได้แล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์ขององคุลิมาล เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบวชแล้ว เทศนาว่าการจนได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าช้ากว่านั้นฆ่าแม่แล้วจบเลย ถ้าฆ่าแม่นะ
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุธเจ้าเล็งไปที่หัวใจของผู้ฟัง เล็งที่หัวใจของเขา ไม่ใช่เล็งว่ากูแน่ กูเก่ง กูเคร่งกว่ามึง ไม่ใช่ จะแน่ จะเก่งมันก็ใจของเรานั่นน่ะ แต่เล็งในหัวใจของเขา แต่เวลาเราปฏิบัติสิ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็ต้องทำใจของเราให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้มีความดีงามของเรา ปฏิบัติของเราให้มันปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คำว่าสมควรแก่ธรรม มันสมควรไง สมควรของสติ สมควรของสมาธิ สมควรของปัญญา สมควรของโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค
สมควร เห็นไหม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรคมันแตกต่างกัน ถ้าไม่สมควรไม่ได้หรอก มันต้องสมควรของมัน สมดุลของมัน มัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุล ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นกลาง เมตรหนึ่งก็ ๕๐ เซ็นตรงกลาง เมตรหนึ่งนะพอดีเลย ๕๐ เซ็น นี่มัชฌิมาปฏิปทา ไอ้นั่นมันตลับเมตร ไอ้นั่นเขาไว้เครื่องตวง ชั่งตวงวัด ความสมดุลมันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนา แล้วความสมดุลของคน นี่ไงขิปปาภิญญาเขาถึงปฏิบัติหนเดียว ปฏิบัติฟังธรรมหนเดียวเป็นพระอรหันต์ไปไง ไอ้เราฟังทุกวันๆ ฟังทุกวันๆ ก็จ้ำจี้จ้ำไช จ้ำจี้จ้ำไชหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา
หัวใจนี่ สิ่งที่สัตว์ สัตว์เวลาเขามีคอกกั้นมันก็อยู่ได้ เวลามันไปทำร้ายใครเขาก็ขังกรงมันซะมันก็จบ หัวใจของเรา เราตั้งใจขนาดไหนก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำไปโดยสัจจะ โดยความจริงนะ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลามันสงบได้โอ๋ยชัดเจนมาก มหัศจรรย์มาก แล้วความมหัศจรรย์นี้ไปตะครุบเอามาจากไหน ไปแสวงหามาจากไหน เวลามันสงบขึ้นมามันสงบในใจเรา เวลาสงบมันสงบที่นี่ไง มันสงบในหัวใจของเรา
นี่เวลาเกิดปัญญา ปัญญามรรคญาณมันเกิดมันเกิดในหัวใจของเรา ปัญญาที่เกิดจากจิตๆ เพราะจิตดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้มันส่งออก เวลามันเกิดสัญญาอารมณ์มันส่งออกไป มันไปกว้านเอาความทุกข์มาเผาลนมัน เวลาเราทำความสงบของใจขึ้นมามันเกิดสัมมาสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา มันสำรอก มันคายของมันขึ้นมา แล้วมันเกิดที่ไหน มันเกิดที่จิต นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ คนไม่เป็นไม่รู้พูดไม่ได้ พูดไม่ได้หรอก เวลาพูดก็พูดข้างเดียวไง เวลาสื่อข้างเดียวนี่เก่งมาก เวลาให้โต้วาที เวลาให้ดีเบตไม่เป็น ไม่ได้
เก่งมาก เก่งมากกิเลสหลอกทั้งนั้นแหละ กิเลสมันสร้างภาพให้ กิเลสมันถางทางให้ไปตามกิเลสหมดเลย แล้วก็บอกว่านี่เป็นปฏิบัติธรรม หลวงตาท่านบอกว่าปฏิบัติพอเป็นพิธี แต่นี้ถ้าเป็นพิธีมันก็กระแสโลกนะ แม้แต่วัฒนธรรมประเพณี ให้ชาวพุทธเรามีวัฒนธรรมประเพณี นี่เป็นวัฒนธรรมของเรา ถ้าสละทานก็สละทานของเรา ถ้าปฏิบัติ ปฏิบัติพอเป็นพิธีมันก็เป็นพิธีนะ เออ ฉันก็นักปฏิบัติเหมือนกัน แต่เอามรรค เอาผล เวลาเอามรรค เอาผล
นี่เวลาปฏิคาหก เวลาทำบุญทำบุญที่ไหน ทำที่เธอพอใจ เพราะกิเลสมันร้ายนัก ทำที่เธอพอใจ ถ้าเอามรรคเอาผลล่ะ ถ้าเอาบุญกุศล บุญกุศลก็ต้องเรื่องเนื้อนาแล้ว เนื้อนา เห็นไหม ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยปัจจัยมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป พัฒนาขึ้นไป มันเป็นข้อเท็จจริงของมันขึ้นไป นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ถ้าฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เวลาฟังถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา อย่าเชื่อผู้พูดว่าพูดแล้วมันตรงกับใจเรา อย่าเชื่อ แต่พิสูจน์ๆ ต้องทำขึ้นมาให้ได้ไง นี่เวลาปริยัติต้องปฏิบัติไง
ศึกษาเล่าเรียนๆ ศึกษานี่ฟังๆๆ ศึกษาโดยการฟัง แล้วเราก็ใคร่ครวญว่าจริงหรือไม่จริง แล้วเราก็ปฏิบัติของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงได้ ไปหาครูบาอาจารย์ที่เทศนาว่าการเลย ฉันทำแล้วไม่เหมือนของฉัน ฉันทำแล้วดีกว่า ฉันทำแล้วถูกต้องกว่า ท่านนี่พูดผิด ปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา นี่สัจธรรมมีหนึ่งเดียวเท่านั้นแหละ เวลาการกระทำมันต้องเป็นความจริงอันนั้น
ฉะนั้น เวลาผู้ที่พูดข้างเดียว พูดฝ่ายเดียวก็พูดกันไป ไม่รู้ว่าเผยแผ่ธรรม ธรรมะหรือยาพิษ แม้แต่หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลากินไก่เขายังกินแต่เนื้อเขาไม่กินกระดูกหรอก กินปลาเขาก็กินแต่เนื้อเขาไม่กินก้าง นี่ก็เหมือนกัน แต่มันก็ต้องมี ไก่มันต้องมีกระดูกของมัน ปลาก็ต้องมีก้างของมัน มันต้องมีกระดูกมันถึงจะอยู่ของมันได้ นี่ธรรมชาติของมัน แต่เราต้องฉลาดไง เราต้องฉลาด เราต้องเอาตัวรอดได้ เราต้องมีสติปัญญาของเรา กระดูกเขาเอาไปบดไปทำแคลเซียมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เวลาเศษกระดูกเยอะมาก ทางโลกเขาคิดเป็นธุรกิจ เขาทำธุรกิจของเขาได้ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องธุรกิจไง แต่ถ้าเป็นความจริงเราต้องมีสติปัญญาเพื่อหัวใจของเรา
นี่ฟังธรรมๆ ถ้าฟังธรรมนะ ฟังแล้วอย่าเชื่อ กาลามสูตร คิดใคร่ครวญของเรา คิดใคร่ครวญของเรา แล้วถ้าฟังธรรมๆ ธรรมะสัจธรรม เห็นไหม เวลาเรามีความลังเลสงสัยมันล้มเลยนะ เหตุผลท่านดีกว่า เหตุผลท่านเหนือกว่า ไอ้ปมในใจเราทุกอย่างมันสลายไปเลยถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้ามันลงกัน ถ้ามันจริตนิสัยตรงกัน แล้วยิ่งปฏิบัติไปด้วย อู๋ย ทำไมหลวงตาท่านไปกราบขอขมาหลวงปู่มั่นล่ะ ไปกราบขอขมา อยู่ด้วยกันเถียงกันมาตลอดมันยังไม่ซาบซึ้งใจ พอไปบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรมกลับมาขอขมา เพราะเป็นอันเดียวกัน
สิ่งที่เราเคยสงสัยๆ จบหมดเพราะเข้าใจหมดแล้ว แล้วเข้าใจหมดแล้วเราผิดเอง ทั้งๆ ที่เรารู้จริงเห็นจริง เราทำของเราขึ้นมาแต่เราผิดเอง ไปขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษเพราะอะไรล่ะ เพราะมันไม่มีทิฐิแล้วไง มันไม่มีอีโก้ในหัวใจหมดแล้วไง มันเป็นความจริงอันเดียวกันไง แล้วความจริงอันเดียวกันยอมรับกันไม่ได้ใช่ไหม ความจริงอันเดียวกันมันก็ต้องยอมรับกันสิ ถ้ายอมรับกันถึงต้องขอขมาลาโทษ
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านถึงอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาท่านจะเข้มงวดเข้มแข็งก็เวลาแสดงธรรม แสดงธรรมคือสัจจะ คือความจริง ความจริงต้องแสดงขึ้นมาเพื่อไปล้มอวิชชาไอ้ความโง่เง่าเต่าตุ่นในใจของผู้ฟังนั้น แล้วผู้ฟังนั้นยังถือตัวถือตนว่ามีอำนาจวาสนา ยังถือตัวถือตนอยู่ไง แต่มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาสักที ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่เวลาผู้ที่มีความจริงเขาจริงตอนเมื่อแสดงธรรม จริงเมื่อมันแสดงความจริง แต่จบแล้วเรื่องของเขา เรื่องของเรา
มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์สร้างเวรสร้างกรรมมันก็เวรกรรมของใจเขา มันเรื่องของเขา มันไม่กระทบกระเทือนใจของผู้ที่มีคุณธรรมในใจเลย ไม่กระทบกระเทือนเลย ไม่เกี่ยวกันเลย มันเรื่องของเขา แต่เวลาแสดงธรรมจะกัดจะฉีกเพราะอะไร ก็เอาจริงไง ความจริงไง ความจริงมันต้องเป็นความจริงวันยังค่ำแหละ เห็นไหม สัจธรรมๆ สัจธรรมก็เป็นสัจธรรมวันยังค่ำแหละ ยาพิษมันก็เป็นยาพิษเผาลนอยู่วันยังค่ำ นี่เราปฏิบัติเพื่อเรา ฟังเพื่อเรา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมทุกวัน ตอกย้ำทุกวัน แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้วเราจะไม่มีโอกาสได้ฟัง ถึงเวลาถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังจะเสียใจตอนนั้น เอวัง